ในบทความนี้ผมนำความรู้การออกแบบ Dashboard Power BI เกี่ยวกับระบบงานเคลมมาเล่าให้ฟังนะครับ ซึ่งสามารถประหยัดเวลาในระยะยาว และเห็นข้อมูล Insight ได้แบบ Realtime เลย
เรื่องมีอยู่ว่าพอดีผมมีเพื่อนพนักงานมาถามผมเรื่องข้อมูลว่าพอจะมีทางไหนบ้างไหมที่ทำให้เขาสามารถเห็นข้อมูลเคลมได้ทันที เพราะมีพนักงานมาวางบิลทุกวัน และเมื่อวางบิลเสร็จต้องกรอกข้อมูลผ่าน Microsoft Form ก็จะไปรวมข้อมูลเป็น Rawdata Excel อันนึง
Table of Contents
🤔ปัญหาที่เจอ?
- ทางผู้บริหารต้องการทราบข้อมูลตลอดเวลาว่าตอนนี้มีคนมาวางบิลกี่คน จำนวนเท่าไร เดือนนี้?
- เขาต้องเปรียบเทียบกับเดือนที่ผ่านมาว่ามีคนวางบิลมากกว่า หรือน้อยกว่าเพื่อให้เห็นเทรนด์แนวโน้ม เพื่อกัน Budget ไว้
- ทุกครั้งที่ต้องเข้าประชุม หรือทางผู้บริหารถาม เขาต้อง Export ข้อมูลออกมาทำการ Pivot และ ทำกราฟแล้วไปใส่ Power Point (เสียเวลา)
🧾โครงสร้างข้อมูล
มาดูโครงสร้างข้อมูลกันครับ Rawdata เป็นดังนี้

ความหมายข้อมูลเคลมแต่ละ Column
- ID — ลำดับข้อมูลแต่ละรายการ
- Start time — เวลาที่เริ่มกระบวนการ (เช่น เริ่มกรอกหรือเริ่มเคลม)
- Completion time — เวลาที่สิ้นสุดกระบวนการ
- Email — อีเมลของผู้ยื่นเคลม
- Name — ชื่อ
- Name and Surname — ชื่อและนามสกุลเต็ม (บางส่วนซ้ำกับคอลัมน์ Name)
- Claim Number — หมายเลขการเคลม เช่น TEST1234, RC6X1R
- Claim amount (THB) — ยอดเงินเคลม (เป็นหน่วยบาท)
💡วิธีการออกแบบ Claim Dashboard
วิธีการที่ดีที่สุดคือต้องเข้าใจว่าคนที่ดู Dashboard นั้นดูอะไรเป็นหลัก อย่างในเคสนี้คือผู้บริหารต้องการเห็นภาพว่า
- ยอดเคลมเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้าแนวโน้มเป็นอย่างไร?
- จำนวนเคลม และจำนวนเงินเคลมเดือนนี้มีเท่าไรแล้ว?
- สามารถดูรายละเอียดถึงด้านในได้เลยว่าใครเคลมเข้ามาบ้าง เท่าไร (บัญชีชอบดูรายละเอียดลึกครับ 55+)
- เห็นข้อมูล Realtime !! (ข้อนี้ทรงพลังมาก เพื่อนผมไม่ต้องมาเตรียมข้อมูลใส่สไลด์แล้ว, ผู้บริหารก็กดคลิกดูรายละเอียดจากลิงค์ได้เลย สุดยอดด)
📊Claim Dashboard

หลังจากเข้าใจปัญหาและออกแบบเสร็จ ก็ถึงเวลาลงมือทำจริงครับ
เคสนี้ข้อมูลไม่ได้ซับซ้อนมาก เพราะเป้าหมายคือสร้าง Operation Dashboard เพื่อให้เห็นภาพรวมการทำงาน ไม่ได้เน้นการวิเคราะห์เชิงลึกมากนัก
ดังนั้นโครงสร้างจึงไม่ต้องซับซ้อนหรือเชื่อมโยงหลายตารางมาก ใช้เพียงการ เขียน DAX เล็กน้อย เพื่อเปรียบเทียบข้อมูลของ เดือนนี้กับเดือนก่อนหน้า ก็เพียงพอให้เห็นแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนครับ
🧑🏿💻การ Coding DAX (Data Analysis Expression)
DAX ก็เหมือนกับการเขียนสูตร Excel นะครับ แต่มันจะเป็นอีกภาษานึง โดยในครั้งนี้ผมเขียน DAX Measure 5 ตัว
1.Last Date
ไว้หาเวลาคนที่อัพเดทข้อมูลล่าสุด
Last Date =
CALCULATE(MAX(Data_Claim[Completion time]))
2.Last Month Start , Last Month End
ไว้หาว่าเดือนล่าสุดที่อัพเดทนั้นเริ่มวันไหน และ จบว่าไหน
Last Month Start =
DATE(YEAR([Last Date]),MONTH([Last Date]),1)
Last Month End =
EOMONTH([Last Date],0)
3.Claim Number , Claim Amount (Last Month)
ไว้หาว่าเดือนล่าสุดที่อัพเดทมี Claim Number และ Claim Amount เท่าไร
Claim Number (Latest Month) =
VAR startDate = [Last Month Start]
VAR endDate = [Last Month End]
RETURN
CALCULATE (
COUNTROWS ( Data_Claim ),
FILTER (
ALL ( Data_Claim[Completion time] ),
Data_Claim[Completion time] >= startDate &&
Data_Claim[Completion time] <= endDate
)
)
Claim Amount (Latest Month) =
VAR s = [Last Month Start]
VAR e = [Last Month End]
RETURN
CALCULATE(
SUMX(Data_Claim,COALESCE(Data_Claim[Claim amount (THB)],0)),
FILTER(ALL(Data_Claim[Completion time]),Data_Claim[Completion time] >= s && Data_Claim[Completion time] <=e)
)
🎯ดาวน์โหลดฟรีที่นี่!
🧾 สรุป
หวังว่าบทความนี้จะเป็นไอเดียให้ทางเพื่อนๆที่สนใจการออกแบบ Dashboard Power BI ของตัวเองได้นะครับ การออกแบบนั้นไม่จำเป็นต้องยาก แต่ขอให้นำไปใช้งานในชีวิตและธุรกิจของตัวเองได้จริง แค่นี้ก็สามารถเพิ่มประสิทธิการทำงานได้มหาศาลแล้วครับ
ลองดูบทความเพิ่มเติมได้ดังนี้
- Template Free Google Sheet & Excel ดาวน์โหลดฟรี
- Passive Income สำหรับพนักงานประจำ
- สร้างอิสรภาพทางการเงินได้อย่างไร

ตอนนี้ ผมมีทำ [Template Pro] ระบบบัญชีรายรับ รายจ่าย เงินออม ด้วย Google Sheets มี Dashboard สรุป (Income Expense Saving Tracker) สามารถดูรายละเอียดได้ที่ Link นี้


![[แจกฟรี!] ตัวอย่างจริง Power BI Claim Dashboard เป็น Case Study สำหรับงานวิเคราะห์ข้อมูลเคลม (3)](https://www.bookintelligent.com/wp-content/uploads/2025/11/แจกฟรี-ตัวอย่างจริง-Power-BI-Claim-Dashboard-เป็น-Case-Study-สำหรับงานวิเคราะห์ข้อมูลเคลม-3-1024x576.jpg)