[สรุป+รีวิวหนังสือ] Marketing 5.0 (การตลาด 5.0 เทคโนโลยีเพื่อมวลมนุษยชาติ)

[สรุป+รีวิวหนังสือ] Marketing 5.0 (การตลาด 5.0 เทคโนโลยีเพื่อมวลมนุษยชาติ)

ในบทความนี้ผมจะมารีวิวหนังสือ Marketing 5.0 (การตลาด 5.0 เทคโนโลยีเพื่อมวลมนุษยชาติ) ให้ฟังกันนะครับ

ต้องบอกว่าที่ผมมาอ่านหนังสือเล่มนี้เพราะอยากจะเสริมความรู้ด้านการตลาดบ้าง เนื่องจากโดยพื้นฐานนั้นผมไม่เคยเรียนวิชาการตลาดมาอย่างมาในวิชาเรียน (ผมจบวิศวะครับ) และก็เคยได้ยินคนพูดถึง Marketing 4.0 บ้าง 5.0 บ้าง แต่ยังไม่ค่อยเข้าใจโดยถ่องแท้ว่ามันคืออะไรกันแน่ ทำให้ผมสั่งซื้อหนังสือเล่มนี้ใน shopee โดยไม่ต้องคิดเลยครับ 

หนังสือ Marketing 5.0 เล่มนี้ มีจำนวนหน้าทั้งหมด 240 หน้า แต่งโดยศาสตราจารย์ฟิลิป คอตเลอร์ (Philip Kotler) ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นปรมาจารย์แห่งศาสตร์การตลาดมือหนึ่งของโลก เมื่อคอตเลอร์พูด นักการตลาดทั้งโลกต้องเงี่ยหูคอยฟัง และแต่งร่วมกับ เหมะวัน การตะจายา (Hermawan Kartajaya) และ ไอวัน เซเตียวาน (Iwan Setiawan) ซึ่งบอกว่าเนื้อหาในเล่มนั้นค่อนข้างเป็นวิชาการมากๆ ต้องใช้พลังในการอ่านในระดับหนึ่ง แต่ก็ต้องบอกว่าเป็นหนังสือที่นักการตลาดและผู้บริหารทุกคนจะต้องอ่านเพื่อเป็นพื้นฐานในการทำตลาดในยุคปัจจุบันนะครับ 

สารบัญ

#ทำไมคุณถึงควรอ่านหนังสือเล่มนี้?

1.ถ้าคุณเป็นผู้บริหาร หรือนักการตลาดต้องอ่าน

ตามที่หนังสือในพอร์ตเรื่องไว้เลยครับ หนังสือเล่มนี้ถือว่าเป็นวิชาเรียนพื้นฐานที่ทุกคนจะต้องเรียนเพื่อเข้าใจถึงการทำตลาดในปัจจุบัน ซึ่งมันจะเป็นความรู้พื้นฐานให้คุณสามารถนำความรู้พื้นฐานเหล่านี้ไปใช้สร้างกลยุทธ์ต่างๆ 

2.ถ้าคุณเป็นผู้ประกอบการ SME รายย่อยต้องอ่าน 

ผมแนะนำให้ผู้ที่อยากจะเป็นผู้ประกอบการ SME รุ่นใหม่ นั้นควรอ่านหนังสือเล่มนี้ เพราะจะได้เห็นภาพการตลาดตอนนี้และในอนาคต ซึ่งจะทำให้คุณสามารถปรับตัวเข้ากับมันได้อย่างรวดเร็ว และใช้ต้นทุนที่ไม่ต้องมาก เพราะคุณเข้าใจมันนั่นเอง 

3.สำหรับคนที่ต้องการศึกษาพื้นฐานเรื่องการตลาด

สำหรับคนที่ต้องการศึกษาก็เหมาะนะครับถึงแม้ว่าในหนังสือนั้นจะมีคำศัพท์ที่เป็นวิชาการหลายๆอย่างแต่ก็สามารถย่อยเข้าหัวได้ค่อนข้างง่าย ถึงแม้ว่าจะมีคำศัพท์ต่างๆ หลายอย่างไม่เข้าใจในหนังสือเล่มนี้ก็จะมีการอธิบายคำศัพท์นั้นไว้ทำให้คุณสามารถเข้าใจคำศัพท์พื้นฐานของการตลาดได้โดยง่าย ดังนั้นไม่ต้องกังวลว่าจะอ่านไม่เข้าใจนะครับ 

 

#สรุปเนื้อหาหนังสือ Marketing 5.0 

1.การตลาด 5.0 คืออะไร?

การตลาด 5.0 คือ การผสมผสานระหว่างการตลาด 3.0 ที่เน้นความเข้าใจมนุษย์ (Humen Centric) และการตลาด 4.0 ที่เน้นดิจิทัลไลฟ์สไตล์ (Traditional to Digital) มารวมกันเป็นการตลาด 5.0 ที่นำเอาเทคโนโลยีมาใช้ทำความเข้าใจมนุษย์ให้ดียิ่งขึ้น เพื่อสร้างประสบการณ์ที่เข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้นนั่นเอง

เมื่อมันถึงจุดนี้ผมขอย้อนกลับไปเล่าถึงที่มาตั้งแต่แรกของแต่ละยุคสมัยการตลาดนะครับ

Marketing 1.0 – Product Centric เน้นการพัฒนาคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ วัดกันว่าของยี่ห้อไหนดีกว่า เยอะกว่า ถูกกว่า ใช้ได้นานกว่า พกพาง่ายกว่า ฯลฯ

Marketing 2.0 – Customer Centric เน้นความต้องการของลูกค้า จัดกลุ่มผู้คนที่มีความต้องการแตกต่างกัน แบ่งออกเป็นกลุ่มย่อยๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่ตรงใจที่สุด

Marketing 3.0 – Human Centric เน้นคุณค่าที่ยึดถือ สื่อสารเกี่ยวกับความเชื่อของแบรนด์ แสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบต่อโลก สังคมและสิ่งแวดล้อมรอบตัว

Marketing 4.0 – Traditional to Digital เน้นการผสมผสานระหว่างประสบการณ์แบบเดิมที่จับต้องได้ เข้ากับประสบการณ์ออนไลน์ หรือที่รู้จักกันในชื่อของ omnichannel

และอย่างที่กล่าวไปครับ Marketing 5.0 คือการผสมผสานระหว่าง Marketing 3.0 และ 4.0 นั่นเอง ซึ่งต้องกล่าวว่าในปัจจุบันนั้นเราน่าจะเคยได้ยินเรื่อง Big Data มากขึ้นเรื่อยๆ ผมจะลองยกตัวอย่างง่ายๆนะครับ ในยุคนี้เวลาที่เราจะซื้อของ เราก็แค่ทำการหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมา เข้าเว็บไซต์ต่างๆไปอ่านรีวิวสินค้าที่เราจะซื้อ จากนั้นก็ทำการค้นหาว่าที่ไหนสินค้าชิ้นนี้ในราคาที่ถูก อาจจะเข้า Application ต่างๆ ที่สามารถสั่งซื้อสินค้าเหล่านี้ อาจจะเป็น Lazada Shopee Amazon ที่เราต้องการในราคาที่ถูกเหมาะสม แล้วก็ทำการจ่ายเงิน อาจจะเป็นทางบัตรเครดิต ทาง Mobile Banking ซึ่งต้องบอกว่าสิ่งเหล่านี้เป็นประสบการณ์ของลูกค้าผ่านทางโลกออนไลน์แล้วสามารถเก็บข้อมูลเป็น Big Data ออกมา เช่น Keyword ที่ใช้ในการค้นคว้าหาข้อมูล พฤติกรรมในการกดชมโฆษณา การซูมดูรายละเอียดสิ่งของ ระยะเวลาที่ใช้อ่านเนื้อหาสินค้าเหล่านั้น ข้อมูลเหล่านี้จะเป็นขุมทรัพย์มากมายถ้าหากเรารู้วิธีการประมวลผลและใช้ประโยชน์จาก Big Data เหล่านี้ 

แนวคิดการตลาดนัดพัฒนาไปกับเทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ความเร็วของอินเทอร์เน็ตที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงการประมวลผลที่ดีขึ้นง่ายขึ้น ทำให้ ในปัจจุบันนั้นเกิดอุปกรณ์ใหม่ๆขึ้นมาที่ตอบสนองความต้องการและสร้างประสบการณ์ให้ดียิ่งขึ้นกับลูกค้า (Customer Experience) ด้วยต้นทุนที่ต่ำลง แต่น่าประทับใจยิ่งขึ้น ผ่านระบบอัตโนมัติ (Automation)

อาจจะสรุป Marketing 5.0 ในรูปแบบสมการได้ดังนี้คือ 

 

Marketing 5.0 = Human + Data + Technology + Platform + Analyze

 

2.ประโยชน์ของเทคโนโลยีมาช่วยอะไรกับการตลาดได้บ้าง?

อย่างที่ได้กล่าวไปครับในยุคนี้มีเทคโนโลยีที่ทันสมัยมากมายไม่ว่าจะใช้การตลาดผ่านเครื่องมือการสืบค้น (Search engine) เรื่องของ e-commerce รวมถึงแพลตฟอร์มต่างๆ โดยสรุปแล้วประโยชน์ของมันคือ 

2.1 ทำให้มีข้อมูลมหาศาลมาประกอบการตัดสินใจ (ฺBig Data)

เอา Data มาช่วยตัดสินใจจากการที่เรามี Data มากมายของลูกค้าที่กระจัดกระจายอยู่ในทุก Touchpoint

2.2 ทำให้เราสามารถคาดการณ์ผลลัพธ์การใช้กลยุทธ์และวิธีการตลาดใดล่วงหน้า 

เมื่อเราทำการวัดผล จาก Data ที่เรามีอยู่ สำหรับการลงทุนการทำตลาดครั้งต่อไปเราก็พอที่จะสามารถคาดการณ์ผลลัพธ์ได้เนื่องจากเรามี Data การลงทุนการตลาดที่เคยเก็บไว้ในอดีต ประเด็นสำคัญคือเราจะต้องเก็บข้อมูลทุกครั้งในการลงทุนทำตลาด ไม่ใช่หลับตาใส่เงินไปเรื่อยๆ อะไรที่ทำแล้วมันเวิร์คก็ควรทำซ้ำ อะไรที่ทำแล้วไม่เวิร์คก็ไม่ควรทำแล้วเอาเงินไปใส่ในช่องทางที่ทำตลาดแล้วเวิร์คเพิ่มมากขึ้น

2.3 เทคโนโลยีดิจิตอลทำให้เราสามารถสร้าง customer experience ได้ดีมากยิ่งขึ้น 

จากการติดตามพฤติกรรม Data ทำให้นักการตลาดที่ต้อนสามารถนำเสนอประสบการณ์ที่สอดคล้องกับลักษณะของลูกค้าได้ตรงมากยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่นการแสดงโฆษณาให้สอดคล้องกับลูกค้า การสร้างเนื้อหาที่ลูกค้าคนนั้นชื่นชอบ ทำให้ลูกค้าสามารถสัมผัสกับแบรนด์หรือ Touch Point ได้ตรงจุดมากยิ่งขึ้น

2.4 สามารถนำเทคโนโลยีดิจิตอลมาผสมกับการตลาดเป็นใช้คนปกติได้ดีมากยิ่งขึ้น 

ตัวอย่างเช่นเราสามารถใช้ แชทบอท (Chatbot) ในการตอบคำถามง่ายๆหรือเป็นคำถามทั่วๆไปที่ลูกค้าเข้ามาถามกัน ส่วนคนจริงๆนั้นก็ให้บริการกับลูกค้าที่มีคำถามยากมากยิ่งขึ้น หรือสำหรับลูกค้าคนสำคัญ นอกจากจะทำให้ต้นทุนลดลงแล้วยังทำให้หน้างานนั้นมีมูลค่ามากยิ่งขึ้นอีกด้วย 

2.5 เทคโนโลยีสามารถทำให้เราสามารถใช้การตลาดที่เราคิดค้นได้อย่างรวดเร็ว 

ในปัจจุบันลูกค้าออนไลน์นั้นสามารถเปลี่ยนความชอบของตัวเองได้ในทุกวินาที ดังนั้นในการนำเครื่องมือเทคโนโลยีมาใช้ในการเก็บข้อมูลการวิเคราะห์แบบ Real Time จึงทำให้สามารถออกผลิตภัณฑ์ได้แบบรวดเร็ว และตรงสถานการณ์ ณ ตอนนั้นได้เลย

 

3. 5 องค์ประกอบหลักของการตลาด 5.0 

[สรุป+รีวิวหนังสือ] Marketing 5.0 (การตลาด 5.0 เทคโนโลยีเพื่อมวลมนุษยชาติ)

3.1) การตลาดขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data Driven Marketing)

สิ่งแรกเลยนะครับที่จะต้องมาปรับในยุค Marketing 5.0 นี้ก็คือต้องปรับ Mindset ของทุกคนในองค์กร โดยเฉพาะผู้บริหารทุกคน ว่าข้อมูลนั้นสำคัญมาก อย่าใช้แต่สัญชาตญาณในอดีตมากำหนดการตัดสินใจในปัจจุบัน แต่ให้ยึดจากข้อมูลที่ได้เก็บมาจริงๆ 

ข้อมูล คือพื้นฐาน สำคัญที่ทำให้เราตัดสินใจได้อย่างแม่นยำ และถูกต้องได้มากขึ้น ถ้าหากเราสามารถเก็บข้อมูลทุกอย่างได้โดยละเอียด ยกตัวอย่างหากเราเป็นร้านโชว์ห่วยนึง เรามีข้อมูลสินค้าสต๊อกทั้งหมด มีทั้งสินค้าขายดี สินค้าที่คงค้างในสต๊อก Aging นานๆ ข้อมูลการใช้แคมเปญโปรโมชั่น Run Rate ของสินค้าที่รวมเวลาในการระบายของออกไป พฤติกรรมการซื้อสิ่งของของลูกค้า การใช้คำค้นหา การใช้งานเว็บไซต์ การใช้งานแพลตฟอร์ม ถ้าหากเรามีการจัดเก็บข้อมูลเหล่านี้เป็นระบบ และมีการวางโครงสร้างพื้นฐานให้สามารถรับข้อมูลได้อย่างมาก แนะนำข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์อย่างต่อเนื่องจะเป็นประโยชน์ต่อองค์กรเราอย่างมากครับ

 ผมยกตัวอย่างง่ายๆนะครับในปัจจุบันนั้นมีเครื่องมือในการทำตลาดเก็บข้อมูลมากมาย อย่างเช่นในเว็บไซต์ก็จะมี Google analytics ในอย่าง Social Media ก็สามารถติด Pixel ได้ หรืออาจจะใช้ระบบ Customer Relationship Management (CRM) การวางระบบ Sale Page ต่างๆ การติดแท็ก Google และยังมีระบบต่างๆอีกมากมายที่สามารถนำมาเก็บข้อมูลให้เรานำมาวิเคราะห์ในอนาคตได้ 

3.2) การตลาดฉับไว (Agile Marketing)

ในปัจจุบันนั้น ธุรกิจจะต้องรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดอย่างรวดเร็ว เพราะมีการแข่งขันที่สูงและมีอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นการทำงานที่เน้นความรวดเร็ว ฉับไว ปรับปรุงตัวเองอยู่ตลอดเวลา ซึ่งการทำงานแบบ Agile Marketing นั้น จะต้องได้รับความร่วมมือในการทำงานของทุกคนในองค์กรไม่ใช่แค่คนที่ทำหน้าที่ Marketing เท่านั้น 

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าองค์กรของคุณต้องการที่จะออกผลิตภัณฑ์มา 5 ตัว ในทีเดียวเพื่อทดสอบตลาดว่าตัวไหนปัง อาจจะปังสัก 1 ตัว อีก 4 ตัวอาจจะล้มเหลว ก็ให้รีบทำผลิตภัณฑ์ที่ปัง 1 ตัวนั้นไปต่อยอด และให้หยุดเสียเวลากับผลิตภัณฑ์ 4 ตัวที่เหลือ นั่นเอง ซึ่งต้องบอกว่าในการทำงานแบบนี้นั้นไม่ใช่แค่ฝ่ายการตลาดเท่านั้นแต่ยังเกี่ยวข้องกับฝ่ายการเงินที่ต้องคำนวณงบใช้จ่ายในแต่ละผลิตภัณฑ์แบบรวดเร็ว ยังเกี่ยวข้องกับฝ่ายขายที่ต้องเข้าใจผลิตภัณฑ์ให้ทันท่วงทีกับการตลาดแล้วสามารถนำเสนอโฆษณาได้ทันที 

3.3) การตลาดเชิงคาดการณ์ (Predictive Marketing)

อย่างที่กล่าวไปครับว่า ข้อมูลนั้นมีอย่างมหาศาลในยุคปัจจุบัน จะต้องนำข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์อย่างสม่ำเสมอ ติดตามตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และใช้วิธีการคำนวณแบบ Data Science เพื่อที่จะได้มาคาดการณ์ว่าสิ่งที่เราทำอยู่นั้นมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จได้มากน้อยเท่าใด ยกตัวอย่างเช่น คุณอาจเอา historical Data ในอดีต มาวิเคราะห์ดูว่าถ้าหากคุณเปิดตัวสินค้าในช่วงเวลาเดือนนี้ เวลานี้จะมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใด รวมถึงนำข้อมูลแวดล้อมบริบท ณ ตอนนี้มาวิเคราะห์ด้วย 

3.4) การตลาดเชิงบริบท (Contextual Marketing)

ถ้าหากคุณเข้าใจบริบทของลูกค้าเข้าใจถึงพฤติกรรมของลูกค้า กลุ่มเป้าหมายของแต่ละคน การทำความเข้าใจพฤติกรรมของแต่ละบุคคล (Personalized Marketing) จึงเป็นจุดเด่นที่เทคโนโลยีในปัจจุบันเข้ามาเสริมประสบการณ์ให้ลูกค้ารู้สึกถึงความเป็น “คนพิเศษ” ยกตัวอย่างเช่น ในการส่งข้อความหนึ่งที่เหมือนกันถ้าหากส่งในช่วงเวลาที่ตรงจังหวะ ในช่องทางการตลาดที่เหมาะสม ในเวลาที่เหมาะสม จะสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าแต่ละคนได้เลย 

3.5) การตลาดเสริมศักยภาพ (Augmented Marketing)

เพิ่มประสิทธิภาพการทำตลาดด้วยมา MarTech ลดการทำงานที่ซ้ำซาก ซ้ำซ้อน ไม่จำเป็นต้องใช้คนออกไป เช่นการใช้แชทบอทตอบคำถามลูกค้าเบื้องต้น การจองคิวร้านอาหารสามารถจองผ่าน App ลงทะเบียนได้ล่วงหน้า ไม่จำเป็นต้องให้พนักงานมายืนขานเรียนลูกค้าทีละคนสร้างความน่ารำคาญ ซึ่งจะทำให้ลูกค้าสามารถได้รับประสบการณ์ที่ดีมากยิ่งขึ้น ลดต้นทุน เพิ่มมูลค่าให้กับพนักงานของเราเองอีกด้วย

 

4.การตลาดปัจจุบันสำหรับคนในแต่ละรุ่น Baby Boomers, Gen X, Y, Z และ Alpha

เรามาเริ่มเข้าใจเวลาเกิดกันก่อนนะครับ ในหนังสือนั้นจะใช้เป็นปีคริสตศักราชแต่ผมจะใช้เป็นพุทธศักราชนะครับ (ชินมากกว่า) โดยในปีที่เขียนบทความนี้คือ 2565 เพื่อเป็นการวัดอายุโดยประมาณ 

4.1) Baby Boomer 

คือคนที่เกิดในช่วงปีพุทธศักราช 2489 – 2507 หรือตอนนี้มีอายุ 58-76 ปี

4.2) Gen X 

คือคนที่เกิดในช่วงปีพุทธศักราช 2489 – 2507 หรือตอนนี้มีอายุ 42-57 ปี

4.3) Gen Y

คือคนที่เกิดในช่วงปีพุทธศักราช 2524 – 2539 หรือตอนนี้มีอายุ 26-41 ปี

4.4) Gen Z

คือคนที่เกิดในช่วงปีพุทธศักราช 2540 – 2552 หรือตอนนี้มีอายุ 13-25 ปี

4.5) Gen Alpha

คือคนที่เกิดในช่วงปีพุทธศักราช 2553 – 2568 หรือตอนนี้มีอายุ 0-12 ปี นั้นเอง

ซึ่งความท้าทายของนักการตลาดนั้นก็คือ แต่ละ Generation นั้นเกิดมาในยุคสมัยที่แตกต่างกัน ผ่านมาในยุคสงครามโลก ยุคเศรษฐกิจตกต่ำ ยุคเศรษฐกิจเฟื่องฟู การมาของอินเทอร์เน็ตต่างๆ โทรศัพท์ สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ Social Media จึงทำให้ประสบการณ์ของแต่ละ Generation นั้นแตกต่างกัน จึงทำให้เป็นไปไม่ได้เลยว่าแบรนด์ๆหนึ่งจะสามารถตอบโจทย์ได้ทุก Generation จากนั้นให้เข้าใจถึงกลุ่มเป้าหมายลูกค้าของคุณจริงๆ และเตรียมตัวสำหรับการทำตลาดผู้บริโภคใหม่ๆนั่นคือ Gen Z และ Gen Alpha เพราะเด็กในวันนี้ก็คือผู้ใหญ่ในวันข้างหน้านะครับ

 

5.การตลาดสุดโต่งเมื่อมีการแบ่งความมั่งคั่งแบบชัดเจน (Prosperity Polarization)

[สรุป+รีวิวหนังสือ] Marketing 5.0 (การตลาด 5.0 เทคโนโลยีเพื่อมวลมนุษยชาติ)

ในหนังสือ Marketing 5.0 นั้นได้กล่าวไว้ว่า ในอนาคตกลุ่มลูกค้าจะแบ่งออกกันอย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น กล่าวคือกลุ่มลูกค้าชนชั้นกลางจะเริ่มหดตัว คนรวยจะยิ่งรวยขึ้น คนจนจะยิ่งจนลง ซึ่งจะไม่ได้เกิดขึ้นกับเรื่องของเงินเพียงเท่านั้น  แต่ยังส่งผลต่อเรื่องงาน (high value vs. low value) แนวคิด วิถีการใช้ชีวิต (minimalist vs. consumerist) และตลาดสินค้า (discount vs. luxury)

สาเหตุเป็นเพราะว่าในปัจจุบันนั้นมีเทคโนโลยีมากมายจะถูกสร้างมาโดยคนรวยแล้วก็จะกีดกันคนจนออกให้ห่างกันมากขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคตก็ต้องบอกว่าก็จะมีเทคโนโลยีเข้ามาแทนที่งานที่ซ้ำซากจำเจไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ AI ,Robotic ,Automation มาทดแทนการใช้แรงงาน 

แม้แต่ประเทศที่มีค่าแรงขั้นต่ำก็อาจจะถูกดึงงานสู่กับประเทศพัฒนาเพราะไม่ได้เอางานมาให้กับคนประเทศพัฒนาหรอกนะครับ แต่เขานั้นใช้เทคโนโลยีที่สามารถใช้งานได้ในประเทศอย่างเช่น Call Center ที่ทางอเมริกาจัดสรรให้คนอินเดียหรือคนฟิลิปปินส์ทำ ก็ดึงงานกลับมาใช้เทคโนโลยีในประเทศนั้นจัดการเอง 

แล้วก็ยังมีงานวิจัยออกมาว่าคนที่เป็นผู้บริหารระดับสูงๆ ก็ล้วนแต่จะมีรายได้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และมีฐานเงินเดือนเพิ่มขึ้นสูงอย่างมาก ส่วนคนที่เริ่มทำงานใหม่ๆหรือคนที่ได้รับค่าแรงขั้นต่ำรายได้ก็แทบจะไม่ขยับเลยมานับ 10 ปีแล้ว ซึ่งในรายงานควรพบว่าส่วนต่างของรายได้นั้นขยับเพิ่มขึ้นมากกว่า 1000 %เลยทีเดียว

นี่เป็นสาเหตุคร่าวๆนะครับที่จะทำให้คนชั้นกลางนั้นหายไปแล้วมีคนรวยและคนจนแบบชัดเจนมากยิ่งขึ้น ซึ่งทำให้นักการตลาดนั้นจะต้องออกแบบผลิตภัณฑ์ เพื่อตอบสนองกับ 2 กลุ่มเหล่านี้ ถ้าแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะหลักๆก็คือ

  • กลุ่มที่ 1 จะเป็นกลุ่มที่ตอบสนองความต้องการพื้นฐานบางอย่างเน้นราคาถูกและคุ้มค่า 
  • กลุ่มที่ 2 จะเป็นกลุ่มที่ตอบสนองคนรวย มีลูกเล่น มีฟีเจอร์มากมาย มีความเหนือเมื่อได้ครอบครอง บางทีอาจจะไม่ได้ใช้ก็ตาม และนอกจากนี้คนรวยก็จะไปใช้จ่ายกับเรื่องของสุขภาพ และความเป็นอยู่ที่ดีมากขึ้นเรื่อยๆ 

6.ช่องว่างดิจิตอล (Digital Divide)

We Are Social คาดการณ์ว่าผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตจะทะลุ 8,000 ล้านคนภายในปี 2030 หรือมากกว่า 90% ของประชากรโลก ณ ขณะนั้น แต่ผู้คนส่วนใหญ่ยังใช้อินเตอร์เน็ตเพื่อการสื่อสาร ตอบแชทหรือเล่นแค่ social media และในหนังสือเล่มนี้ก็ยังได้พูดถึงภัยและโอกาสเมื่อเข้าสู่ Digital

6.1) 5 ภัยของการเปลี่ยนไปสู่ยุคดิจิตอล 

6.1.1) จะมีระบบอัตโนมัติและทำให้คนตกงานมากขึ้น

6.1.2) ความไม่ไว้ใจในเทคโนโลยี เช่น การขับรถยนต์อัตโนมัติ การรักษาโรคจากหุ่นยนต์เทคโนโลยี 

6.1.3) ความกังวลในเรื่องความเป็นส่วนตัว และความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล

6.1.4) จะมีข่าวลวง (Fake New) ค่อนข้างเยอะ

6.1.5) เราจะเสียเวลากับเรื่องออนไลน์มากเกินไปเพราะ มีตัวกระตุ้นอย่างต่อเนื่อง 

6.2) 5 โอกาสของการเปลี่ยนไปสู่ยุคดิจิตอล 

6.2.1) สามารถสร้างความมั่นคั่งให้กับคนที่ใช้งานเป็นได้อย่างมหาศาล ทำให้ธุรกิจเติบโตแบบก้าวกระโดด ใช้เวลาสั้น มีประสิทธิภาพการทำงานมากขึ้นกำไรดีขึ้น ความผิดพลาดน้อยลง ต้นทุนต่ำลง 

6.2.2) มีข้อมูลมาใหม่ๆตลอดเวลาทำให้เราสามารถเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต 

6.2.3) เราจะมีชีวิตที่สะดวกสบายมากขึ้นและรับประสบการณ์ที่ดีได้มากขึ้น

6.2.4) มีสุขภาพที่ดีขึ้น คุณภาพชีวิตดีขึ้น

6.2.5) ทำให้ธรรมชาติและสังคมสามารถดีขึ้น

 

7.วิธีการเตรียมพร้อมองค์กรเข้าสู่ยุคดิจิตอล 

ในการเตรียมความพร้อมของการเข้าสู่ยุคดิจิตอลนั้นจะแบ่งไปตามอุตสาหกรรม รวมถึงลูกค้าของอุตสาหกรรมนั้นๆ  ซึ่งในหนังสือนั้นจะแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มดังนี้คือ 

7.1 กลุ่มดั้งเดิม (Origin)

กลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมเหล่านี้อาจจะไม่พร้อมมากนักที่จะเผชิญหน้ากับการเข้าสู่ที่ดิจิตอล เช่น อุตสาหกรรมโรงแรมและสุขภาพ ซึ่งจะต้องใช้ปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์หรือคนค่อนข้างเยอะ 

7.2 กลุ่มไปข้างหน้า (Onward)

กลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมเหล่านี้เตรียมพร้อมไปสู่ดิจิตอลมากๆ แต่ลูกค้ายังไม่ค่อยพร้อมเท่าไหร่ ยกตัวอย่างเช่นอุตสาหกรรมค้าปลีก Retailing

7.3 กลุ่มออแกนิก (Organic)

กลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมเหล่านี้ยังไม่ค่อยพร้อมเท่าไหร่ แต่ลูกค้าพร้อมจะไปสู่ดิจิตอลมากๆ นั่นคืออุตสาหกรรมยานยนต์ เนื่องจากงานวิจัยนั้นค้นพบว่าคนที่ซื้อรถยนต์นั้นมากกว่า 95% จะหาข้อมูลรถยนต์จากช่องทางดิจิตอลเป็นหลัก แต่มากกว่า 95 เปอร์เซ็นต์ของการซื้อจริงจะไปจบที่ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ ซึ่งการระบาดของโควิชนั้นทำให้การซื้อรถยนต์ออนไลน์ผ่าน Platform นั้นเกิดขึ้นอย่างมากเช่น Carvana และ Vroom 

7.4 กลุ่มเข้าถึงได้ทุกช่องทาง (Omni)

เป็นกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมและลูกค้างั้นพร้อมเข้าสู่ยุคดิจิตอลมากๆหรือเข้าสู่มานานแล้ว เช่นบริการทางด้านการเงิน กลุ่ม Hi-tech 

หวังว่าเพื่อนๆจะได้รับประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะครับสำหรับสรุปหนังสือ Marketing 5.0 เล่มนี้

สามารถซื้อหนังสือได้ที่ลิงค์นี้


แนะนำบทความที่น่าสนใจ