8 สิ่งที่ควรทำในสามปีแรกของการ "เริ่มต้นทำงาน"

8 สิ่งที่ควรทำในสามปีแรกของการ “เริ่มต้นทำงาน”

“การเริ่มต้นทำงาน” นั้นแตกต่างจากโรงเรียนตรงที่ไม่มีใครจะมาคอยสอนหรือจ้ำจี้จ้ำไชว่าเราควรทำตัวอย่างไร เพราะถือว่าแต่ละคนก็โตๆกันแล้ว

แต่จากประสบการณ์ผมพบว่า ถ้าคุณเป็นพนักงานประจำ มีหลายสิ่งที่เราสามารถทำได้เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับหัวหน้าและเพื่อนร่วมงาน ซึ่งจะช่วยให้เราทำงานได้ราบรื่นและแสดงผลงานได้ดียิ่งขึ้นครับ

1. เป็นมิตรกับทุกคน

ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้า เพื่อนร่วมงาน HR รีเซ็ปชั่น แม่บ้านรปภ. เชื่อผมเถอะว่า คุณต้องมีโอกาสได้พึ่งพาเขาแน่ๆ และนอกจากนั้น คุณไม่มีวันรู้เลยว่า เพื่อนร่วมงานคนไหนจะขึ้นมาเป็นหัวหน้าของคุณในอนาคต

2. รู้จักชื่อเล่น

สมมติว่าผมต้องติดต่อแผนกบัญชีเพื่อคุยกับ”คุณสถาพรซึ่งผมไม่เคยรู้จักมาก่อน สิ่งแรกที่ผมจะทำคือ ดูว่ามีใครในแผนกบัญชีที่ผมรู้จักอยู่แล้วบ้าง แล้วผมจะโทรหาคนคนนั้นเพื่อที่จะถามชื่อเล่นของคุณสถาพร และถ้าอายุอานามของคุณสถาพรดูใกล้เคียงกับผม จนไม่แนใจว่าเขาแก่กว่าผมหรือเปล่า ผมก็จะถามเพื่อนร่วมงานไปเลยว่าเขารุ่นไหน หรือรหัส (นักศึกษา) อะไร เมื่อได้ข้อมูลมาแล้วว่าคุณสถาพรชื่อเล่นว่าดุ๊ก และแก่กว่าผมหนึ่งปี คราวนี้เวลาต้องไปคุยกับคุณสถาพรจริงๆแทนที่จะเรียกเขาว่า “คุณสถาพร” ผมจะเรียกเขาว่า “พี่ดุ๊ก” แทนเพียงแค่นี้ความเป็นกันเองก็จะเกิดขึ้น ไม่ดูห่างเหินเหมือนตอนเราเรียกเขาว่า “คุณสถาพร”

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องดูด้วยนะครับว่า ถ้าเขาเป็นคนถือตัวก็อาจจะไม่เหมาะที่จะเรียกชื่อเล่นตั้งแต่คุยกันครั้งแรกเท่าไหร่แต่จากประสบการณ์ของผม ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีปัญหาหรอกครับ

3. เลิกงานแล้วอย่าเพิ่งกลับบ้าน

ถ้าคุณยังไม่มีครอบครัวหรือมีภาระที่ต้องดูแล ก็ควรจะหากิจกรรมทำหลังเลิกงานกับเพื่อนๆในทีมหรือในแผนกอาจจะเป็นเรื่องง่ายๆอย่างกินข้าวเย็นด้วยกันก็ได้ เพื่อที่คุณจะได้รู้จักกันและกันมากขึ้น และกลายเป็น “เพื่อน” แทนที่จะเป็นแค่ “เพื่อนร่วมงาน” เฉยๆและยิ่งถ้าคุณเล่นกีฬาอย่างฟุตบอลหรือบาสเกตบอล

และมีเพื่อนๆในที่ทำงานไปเล่นกีฬาอยู่แล้ว ก็สมควรเป็นอย่างยิ่งที่จะไปเล่นกับเขาด้วย เพราะมันจะช่วยให้คุณรู้จักกลุ่มคนที่กว้างขึ้น ช่วยให้ทำงานง่ายขึ้นมากเวลาต้องขอความร่วมมือจากทีมอื่นๆครับ

4. “สูบ” ให้มากที่สุด

“สูบ” ในที่นี้ผมหมายถึงสูบความรู้นะครับ เพราะที่ทำงานคือสถานที่ที่คุณจะได้รู้จักกับผู้คนจากหลากหลายพื้นเพ และแต่ละคนก็จะเก่งกว่าคุณในด้านใดด้านหนึ่งแน่ๆ เพราะฉะนั้นคุณควรจะเรียนรู้จากพวกเขาให้มากที่สุด
และถ้าคุณได้ทำงานบริษัทใหญ่ ๆ โอกาสในการสูบก็ยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีก เพราะเขามักจะมีแหล่งเรียนรู้ดีๆ เช่น eLearning หรือ eBooks บริษัทจ่ายเงินไม่น้อยเพื่อซื้อบริการเหล่านี้มาให้เราใช้ได้ฟรีๆ ดังนั้นอย่าปล่อยโอกาสทองในการพัฒนาตัวเองให้หลุดลอยไป

5. ทำ Powerpoint ให้สวยๆ

คนทำงานบริษัทส่วนใหญ่ยังทำสไลด์ในการนำเสนองานหรือ Presentation Slides ไม่ค่อยเป็น เพราะฉะนั้น ถ้าคุณสามารถทำสไลด์ออกมาให้สวยๆ และเข้าใจง่ายแล้วละก็ คุณจะโดดเด่นกว่าคนอื่นทันที แถมมันยังเป็นทักษะที่ต้องใช้ไปตลอดไม่ว่าคุณจะเติบโตไปสู่ตำแหน่งอะไรก็ตามหนังสือสอนการทำสไลด์ที่ผมชอบมากคือหนังสือ Presentation Zen ของคุณการ์ เรย์โนลด์ส (Garr Reynolds) ครับ
มีแปลเป็นภาษาไทยแล้วด้วยนะครับ และถ้าอยากจะติบล็อกของเขาก็ไปดูที่เว็บไซต์ www.presentationzen.com ได้เลย

6. เผื่อใจไว้ว่า เงินเดือนที่มากขึ้นอาจไม่ได้ทำให้มีความสุขมากขึ้น

แต่ก่อนผมเคยนึกว่า ยิ่งเงินเดือนเยอะ ยิ่งมีความสุข ซึ่งเป็นความจริงเพียงเสี้ยวเดียวเพราะเมื่อไรก็ตามที่เงินเดือนเพิ่มขึ้น ภาระหน้าที่ก็ยิ่งมากขึ้น เมื่อบริษัทให้ผลตอบแทนสูง เขาก็ย่อมคาดหวังกับเราสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว
นอกจากนี้ เมื่อเรามีอายุมากขึ้น มีกำลังทางการเงินมากขึ้น ความคาดหวังจากคนในครอบครัวของเราก็จะสูงขึ้นด้วยเช่นกัน นั่นคือ แม้รายได้จะเพิ่ม แต่รายจ่ายก็จะพุ่งดังนั้น ต้องรู้จักบริหารเงินดีๆ ไม่อย่างนั้นอาจจะทุกข์ยิ่งกว่าตอนที่เงินเดือนน้อยๆ เสียอีก

7. เลือกงานที่แค่อ่าน Job Description ก็สนุกแล้ว

เมื่อความสุขไม่ได้ขึ้นอยู่กับเงินเดือนเพียงอย่างเดียวเราจึงควรเลือกงานที่ตัวเองมีความสุขที่จะทำด้วยผมจบวิศวกรรมไฟฟ้า แต่มาทำงานบริษัทซอฟท์แวร์โดยเริ่มต้นจากการเป็นโปรแกรมเมอร์ ทำไปได้สักสองปีกว่าๆก็รู้สึกว่าไม่ได้เกิดมาเพื่อสิ่งนี้เท่าไหร่ พอมีตำแหน่งงานซัพพอร์ต (แก้ปัญหาให้ลูกค้า) ผมจึงลองสมัครดู แล้วก็ได้รู้ตัวว่าชอบงานนี้มาก
แต่ความชอบของเราเปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ นะครับ เพราะพอทำงานซัพพอร์ตไปได้ 4 ปีก็เริ่มรู้สึกอิ่มตัวกับงานด้านไอทีแล้วช่วงเดียวกันนั้นที่บริษัทก็เปิดรับตำแหน่งด้านสื่อสารองค์กรแค่ได้เห็นว่าต้องทำอะไรบ้างผมก็เนื้อเต้นแล้ว จึงตัดสินใจสมัครทั้งๆ ที่รู้ว่าได้เงินไม่ดีเท่างานด้านไอทีแน่ๆ สุดท้ายผมก็ทำตำแหน่งนี้มาหกปีแล้ว และไม่เคยเสียใจที่ตัดสินใจมาทำงานสายนี้เลย ถ้าเราฟังเสียงหัวใจของตัวเอง และฟังความกลัวให้น้อยลงเราจะได้งานที่ทำแล้วมีความสุขครับ

8. เรียนรู้เรื่องการประหยัดภาษี

ผมเสียดายที่เรียนรู้เรื่องนี้ช้าไป ทำงานมาเกือบห้าปีถึงจะเพิ่งรู้จักกองทุนรวมประเภท LTF และ RMF ซึ่งผมว่ามันเป็นเครื่องมือทางการเงินที่ดีมากๆ ช่วยให้เรามีเงินออมแบบเป็นกอบเป็นกำ ประหยัดภาษีได้ปีละเป็นหมื่น ผมเก็บเรื่อยๆเดือนละห้าพัน เผลอแป๊บๆ ก็มีเงินเก็บหลายแสนแล้วครับ
ดังนั้นอย่ารอช้าที่จะเจียดเงินส่วนหนึ่งเอาไว้ซื้อ LTF ทุกเดือนนะครับ เดือนละพันสองพันก็ยังดี
และนี่คือแปดข้อที่สมควรรู้สำหรับพนักงานมือใหม่ครับ

หนังสือ : Thank God It’s Monday
ผู้แต่ง : อานนทวงศ์ มฤคพิทักษ์
สั่งหนังสือได้ที่ : https://click.accesstrade.in.th/go/5TBDkc7Z